เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2558 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงข่าวกรณีการนำลิงอุรังอุตังของกลางที่ถูกลักลอบนำเข้ามา และถูกนำมาทิ้งปล่อยไว้ริมถนนทางหลวง จ.ภูเก็ต 11 ตัว ตรวจยึดจากจ.ชุมพรอีก 1 ตัว และลูกลิงอุรังอุตังเกิดใหม่อีก 2 ตัว รวมทั้งหมด 14 ตัว เป็นเพศผู้ 9 ตัว เพศเมีย 5 ตัว นำส่งกลับถิ่นกำเนิดเดิมที่ประเทศอินโดนีเซียในวันที่ 12 พ.ย. นี้
นายอดิศร กล่าวว่า ลิงอุรังอุตังทั้งหมดเป็นลิงของกลางที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาในประเทศ กลัวความผิดจึงนำมาทิ้งไว้ ซึ่งกรมอุทยานฯ ได้ส่งไปเลี้ยงดูที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อตรวจหาสายพันธุ์พบว่าเป็นสายพันธุ์บอร์เนียว จากประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาทางรัฐบาลอินโดนีเซียได้ประสานผ่านสถานทูตประจำประเทศไทย มายังรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรฯ เพื่อขอรับลิงอุรังอุตังกลับไปดูแล ซึ่งตามกฎของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าพืชและสัตว์ซึ่งชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ลิงอุรังอุตังเป็นสัตว์ในบัญชีหมายเลข 1 ดังนั้นประเทศที่รับเลี้ยงไว้สามารถเรียกค่าใช้จ่ายจากประเทศต้นทาง โดยกรมอุทยานฯ ได้แจ้งค่าดูแลลิงอุรังอุตัง 14 ตัว ตลอด 5-6 ปี ที่ผ่านมา คิดเป็นเงิน 3 ล้านบาท แต่รัฐบาลอินโดนีเซียขอให้ยกเว้นค่าเลี้ยงดู 3 ล้านบาท เพราะไม่มีงบประมาณ จึงมีการตกลงให้ยกเว้นค่าเลี้ยงดูทั้งหมด เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างสองประเทศ




นายอดิศร กล่าวอีกว่า ส่วนการเตรียมความพร้อมการส่งลิงอุรังอุตังนั้น เจ้าหน้าที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสัตวแพทย์ของสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้มีการกำจัดพยาธิ การกักกันเฝ้าระวังโรค การทำประวัติทางการแพทย์ การตรวจเลือดรายตัวเพื่อกำจัดโรคให้หมด รวมทั้งการนำลิงอุรังอุตังมาทดสอบความคุ้นเคยกับกรงขนย้าย ส่วนกรงที่ขนย้ายนั้นจะมีขนาดมาตรฐาน รวมทั้งต้องฆ่าเชื้อ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสุขภาพลิงอุรังอุตัง โดยรัฐบาลอินโดนีเซียจะส่งเครื่องบินซี-130 มารับลิงอุรังอุตัง และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการขนส่งทั้งหมด
รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ทั้งนี้การส่งลิงอุรังอุตังคืนถิ่นกำเนิดทั้งหมด 14 ตัว เป็นการส่งมอบครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งแรกเมื่อปี 2549 จำนวน 48 ตัว และครั้งที่ 2 เมื่อปี 2550 จำนวน 4 ตัว โดยครั้งนี้จะมีพิธีการส่งมอบ-รับมอบ ระหว่างพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. และเอกอัคราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ณ สนามบินกองทัพอากาศดอนเมือง (บน.6) กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 พ.ย. นี้ โดยจะมีผู้แทนจากสถานทูตต่างๆ ในประเทศไทย และผู้แทนสำนักเลขาธิการไซเตส มาร่วมเป็นสักขีพยาน แสดงให้เห็นว่าไทยมีความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามกรอบของไซเตส